วันนี้ CT TUTOR ได้รวบรวมตัวอย่างการเขียนเรียงความ ให้ผู้สนใจการเขียนเรียงความ หรือเด็กๆที่กำลังจะเข้าประกวดการเขียนเรียงความ มาให้ศึกษากันนะค่ะ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะ
ตัวอย่างที่ 1
เรียงความเรื่อง
"แม่ของแผ่นดิน" โดย นางสาวรุ่งนภา ธูปหอม ม.4/1 โรงเรียนนาโบสถ์พิทยาคม
อ.วังเจ้า จ.ตาก ได้รางวัลชนะเลิศการประกวดเรียงความ ในงานคอนเสิร์ตรักชาติ
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ณ
หอประชุมโรงเรียนผดุงปัญญา
………………………………………………………………………………………………………………..
แม่คนหนึ่งรักและเลี้ยงดูลูกได้สักกี่คน คำตอบก็คือ
ถ้าเป็นลูกของแม่แล้วไม่ว่ากี่คนแม่ก็มีความรักความห่วงใย ความปรารถนาดีให้แก่ลูก
ๆ ทุกคนอย่างไม่เอียงเอน พร้อมที่จะเลี้ยงดูลูกเสมอไม่ว่าลูกจะสูงต่ำดำขาว
โง่เขลาหรือเฉลียวฉลาด และไม่ว่าลูกจะเติบโตขึ้นเพียงใด
แม่ก็ยังคงคอยมองดูและคอยประคับประคองเมื่อลูกก้าวพลาดเสมอ
โดยทั่วไปแล้ว
แม่ธรรมดาคนหนึ่งมีลูกไม่กี่คน อย่างมากก็สิบกว่าคนเท่านั้น
แต่เชื่อไหมว่ามีแม่คนหนึ่งที่เลี้ยงลูกได้หลายสิบล้านคนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
มอบความรัก ความห่วงใย ความเสมอภาคเท่าเทียมและความปรารถนาดีแก่ลูกของแม่ทุก ๆ คน
แม่คนนี้รักลูกทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ ทุกอาชีพ แม่ชื่นชมกับความสำเร็จที่ลูกหลาย ๆ
คนได้รับ คอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ดูด้วยความปิติยินดี
แววตาของแม่เปี่ยมไปด้วยความรักความเอื้ออาทร เป็นรักที่บริสุทธิ์อย่างถ่องแท้
และเมื่อใดที่ลูกของแม่คนไหนได้รับความทุกข์ความยากลำบาก
มีหรือที่แม่นี้จะทนอยู่ได้อย่างเฉยชา เมื่อลูกทุกข์ แม่ก็ทุกข์ด้วย
แม่จึงต้องตระเวนไปตามสถานที่ต่าง ๆ ของ "บ้านหลังใหญ่"
หลังนี้ให้ทั่วเพื่อดูแลความเป็นอยู่ของลูก หลายครั้งแม่ก็ทำหน้าที่เป็นแม่บุญธรรมรับเลี้ยงลูกของเพื่อนบ้านที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น
แม่คนนี้ก็ดูแลลูกบุญธรรมเป็นอย่างดี
อุปการะไว้จนเห็นบ้านของเขาสงบดีแล้วจึงจะส่งลูกกลับไป
แม่คนนี้จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก
"สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ" พระผู้ทรงเป็น
"แม่ของแผ่นดิน"
แม่ที่เป็นคู่พระบารมีของพ่อนับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระราชินี
พระเมตตาของพระองค์ก็ได้แผ่ปกเกล้าเหล่าพระสกนิกรชาวไทยได้อย่างไม่เคยขาด
พระองค์ทรงมอบความรัก ความเมตตาให้กับราษฎรของพระองค์ทุก ๆ คน
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการได้อย่างครบถ้วนอย่างที่แม่คนหนึ่งพึงจะปฏิบัติต่อลูก
พระองค์ทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฎรทั่วผืนแผ่นดินไทย
พสกนิกรชาวไทยทุกคนจึงศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้ง และตอบกลับความรักนั้นไว้ในพระราชหฤทัยและสนองตอบอันเป็นความรักอันบริสุทธิ์กว้างใหญ่ไพศาล
มอบแก่ลูก ๆ ทุกคนของพระองค์
"จับมือลูกเรียนเขียน ก. ไก่
สอนให้ลูกเป็นคนดีมีเหตุผล
จากนั้นลูกของแม่แต่ละคน จึงรวมตนเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม"
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจใหญ่น้อยนานัปการได้อย่างดียิ่งโดยมีเวลา
ความศรัทธาและความจงรักภักดีของพสกนิกรไทยเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า
พระองค์ทรงปฏิบัติได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
พระองค์ทรงขึ้นเขาลงห้วยไปหาทวยราษฎร์ด้วยพระราชหฤทัยที่มุ่งมั่นในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พสกนิกรที่ทรงเห็นว่ามีความอดอยากยากแค้น
ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีอาหารกินให้อิ่มท้อง
พระแม่ของคนไทยทรงทักถามความยากลำบากต่าง ๆ
และรีบเร่งให้ความช่วยเหลืออย่างไม่รอช้า เมื่อลูกป่วยแม่ก็พาหมอมาให้
ลูกไม่ได้เรียนหนังสือแม่ก็ส่งเสียให้เรียน ท้องที่กันดารไม่มีครูแม่ก็หาครูมาสอน
หรือแม้แต่ลูกไม่มีงานทำ
แม่ก็หางานให้โดยทรงเลือกหัตถกรรมให้เป็นอาชีพเสริมการเกษตร ให้โอกาสแก่คนพิการ
คนว่างงาน ชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ โดยไม่แบ่งชนชาติไม่แบ่งชั้นวรรณะ
และด้วยความเชื่อว่าลูกของแม่เป็นคนไทยที่มีสายเลือดของความเป็นช่างอยู่ทุกคน
หากฝึกฝนให้มากขึ้นก็สามารถสร้างผลงานออกมาได้อย่างวิจิตรงดงามเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ภายใต้กำลังใจที่แม่มอบให้
แม่ไม้ต้องการให้ลูก ๆ ของแม่เอาแต่พึ่งพาคนอื่น แม่ต้องการให้ลูก ๆ
อยู่ได้ด้วยตนเอง โดยแม่เป็นเพียงผู้ชี้ทางสว่างให้ เป็นผู้สั่งสอนอบรมและมอบความรู้ต่าง
ๆ ให้แก่ลูก ด้วยหวังให้ลูกสามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นและเป็นกำลังที่ยอดเยี่ยมของประเทศชาติต่อไป
ศูนย์ศิลปาชีพเป็นเพียงหนึ่งสิ่งที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถทรงจัดตั้ง
เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ราษฎร
เหมือนกับการให้ชีวิตใหม่แก่ราษฎรที่กำลังประสบความทุกข์ยาก
แต่ทว่าพระองค์มิได้ทรงทำเพียงเท่านั้นพระองค์ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันใหญ่หลวงอีกนานัปการ
อาทิด้านการศึกษาพระองค์ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนให้เยาวชนศึกษาเล่าเรียนตามกำลังความสามารถ
จัดตั้งโครงการศาลาร่วมใจซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเองของราษฎรตามท้องถิ่นต่าง ๆ
ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรงจัดตั้งโครงการสวนสัตว์ป่าเปิดภูเขียวตามพระราชดำริ
โครงการอนุรักษ์พันธ์เต่าทะเล ศูนย์เพาะเลี้ยงและขยายพันธ์สัตว์ป่า
โครงการป่ารักน้ำที่พระองค์ทรงตระหนักเห็นความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ดังพระราชดำรัสที่ว่า
"ข้าพเจ้าอาจจะได้ทำหน้าที่เพื่อประชาชนมาแล้วหลายอย่าง
แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถทำให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของการรักษาป่า
ว่าป่านี้ได้ช่วยพิทักษ์น้ำและเก็บน้ำไว้ในดินเพื่อเรา
ก็เหมือนกับข้าพเจ้ายังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์"
ด้านการศาสนา
พระองค์ทรงศรัทธาอุปถัมภ์บำรุงพระบวรพุทธศาสนา
ทรงปฏิบัติตนตามแบบอย่างของชาวพุทธอันเป็นแบบอย่างที่ดีและมีค่ามากกว่าคำสอน
ส่วนพระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุข ทรงจัดตั้งสภากาชาดตามจังหวัดต่าง ๆ
ทรงรับคนไข้ผู้ยากไร้ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และพระราชภารกิจอื่น ๆ
อีกมากมายที่แม่คนหนึ่งมอบให้แก่ลูกของแม่หลายสิบล้านคน
แม่มีบทบาทสำคัญในการที่จะทำให้ "บ้านหลังใหญ่"
หลังนี้เป็นที่พักพิงทางกายใจอันอบอุ่นและสุขสบายของลูก ๆ ทุกคน
โดยจะเห็นได้ว่าทุกคราวที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถเสด็จไปทรงเยี่ยมเหล่าพสกนิกรตามสถานที่ต่าง
ๆ
ราษฎรจะยอมเดินทางมาไกลหลายสิบหลายร้อยกิโลเมตรและยินดีที่จะรอคอยเพื่อเข้าเฝ้าพระองค์ตั้งแต่เช้า
โดยไม่สนใจต่อสภาพภูมิอากาศว่าร้อนหรือหนาวเพียงใด
ไม่สนใจว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงเมื่อไหร่ เพียงแค่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์เพียงชั่วขณะเดียว
ได้ยินพระสุรเสียงอันอ่อนโยนที่พระองค์รับสั่งถามว่า "มาคอยนานไหมจ๊ะ"
เพียงประโยคเดียวก็ถึงกับทำให้น้ำตาของหลาย ๆ คนไหลอาบแก้มด้วยความตื้นตัน
พระองค์ทรงทำลายกำแพงแห่งความสูงส่งทั้งมวลอย่างราบคาบเหลือเพียงความรักความผูกพันระหว่าง
"แม่" กับ "ลูก" ที่ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น
ความรักความเอื้ออาทรที่แม่คนหนึ่งได้มอบให้ลูกหลายสิบล้านคนอย่างเท่าเทียมไม่เอนเอียง
ปลื้มปิติยินดีกับลูกที่ประสบความสำเร็จและพยายามบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ลูก ๆ
ที่ยังได้รับความทุกข์ยากด้วย พระราชอัจฉริยภาพอันปราดเปรื่อง
ดั่งสายฝนที่โปรยความชุ่มชื่นให้แก่แผ่นดินที่แห้งแล้งให้กับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
พระองค์ทรงเป็น "แม่หลวง" เป็น "แม่ของแผ่นดิน" ที่ลูก ๆ
กว่าหกสิบล้านคนเคารพรักและภักดีอย่างไม่มีวันเสื่อมคลายไปจากหัวใจของชาวไทยทุกดวง
"ซาบซึ้งใน พระองค์
ทรงก่อเกื้อ
ใต้จดเหนือ เสด็จเยือน
เลือนทุกข์เข็ญ
เคยกันดาร พลันชื่นฉ่ำ
คลายลำเค็ญ
พระทรงเป็น "แม่หลวง" ของปวงชน"
ตัวอย่างที่ 2
รางวัลชนะเลิศ : นางสาวช่อทิพย์
รักธรรม ชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช
“โลกร้อนสร้างวิกฤติ วิทย์และเทคโน ช่วยได้”
“
ปัญหาต่างๆ
เกี่ยวกับสภาวะแวดล้อม อันเนื่องมาจากมลพิษ หรือความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งก็ตากย่อมส่งผลกระทบไปถึงที่อื่นๆ ด้วยเหตุนี้
ทุกคนทุกประเทศในโลกจึงย่อมมีส่วนรับผิดชอบอยู่ด้วยกัน ทั้งในการแก้ไข ลดปัญหา
และปรับปรุงสร้างเสริมสภาวะแวดล้อม
ให้กลับคืนมาสู่สภาพอันจะเอื้อต่อการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขของตนเองและเพื่อมนุษย์....”
(พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)
จากพระราชดำรัสข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันสภาพแวดล้อมของโลกใบนี้กำลังเปลี่ยนไปจากฝีมือมนุษย์
ไม่ว่าใครเป็นผู้กระทำหรือเกิดขึ้นที่ใด ก็ย่อมส่งผลไปทั่วโลก
เช่นเดียวกับภาวะโลกร้อนที่เรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้
อาจเกิดจากความไม่ตั้งใจของมนุษย์
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราทุกคนบนโลกจะต้องช่วยกันหาทางแก้ไข เพื่อให้โลกใบนี้คงอยู่ต่อไป
ภาวะโลกร้อนเป็นภาวะที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากปรากฏการณ์เรือนกระจก
ซึ่งต้นเหตุทั้งหมดก็มาจากฝีมือมนุษย์
ที่เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงการขนส่ง
และการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมรวมไปถึงเพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์และคลอโรฟลูออโรคาร์บอน
ก๊าซเหล่านี้คงไม่มีผลกระทบต่อโลกถึงเพียงนี้ ถ้าหากมนุษย์ไม่ไปตัดไม้ทำลายป่า
อันเป็นเหตุให้การดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง
ในที่สุดสิ่งที่เรากระทำ ก็ส่งผลมาสู่ตัวเราเอง กับสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเผชิญต่อภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อนได้ส่งผลกระทบในหลายๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นด้านนิเวศวิทยา อาทิ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย สภาพอากาศแปรปรวน
อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น อย่างประเทศไทยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 1
องศาเซลเซียส และมีการคาดการณ์ว่าอีก 90 ปีข้างหน้า
อุณหภูมิผิวโลกจะสูงขึ้นจากปัจจุบันราว 4.5 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบในด้านเศรษฐกิจด้วย เช่น
ธุรกิจท่องเที่ยวที่สำคัญบนเกาะเล็กๆของทวีปอเมริกา
ต้องสูญเสียรายได้จากการที่น้ำทะเลสูงขึ้นและกัดกร่อนชายฝั่ง หรือจะเป็นทวีปเอเชีย
ที่เกิดฝนกระหน่ำและมรสุมอย่างรุนแรง รวมถึงความแห้งแล้งในฤดูร้อนที่ยาวนาน
ส่งผลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจภาวะโลกร้อนยังส่งผลไปถึงสุขภาพของมนุษย์ทั่งโลกอีกด้วยเนื่องจากโลกร้อนเป็นสภาวะที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
โลกในปัจจุบัน
เป็นโลกแห่งยุคโลกาภิวัฒน์ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามามากมาย
รวมไปถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
หลายคนอาจมองว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกใบนี้ต้องประสบกับภาวะโลกร้อน
แต่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลับช่วยให้ภาวะโลกร้อนทุเลาลง
ผู้สร้างอาจเป็นผู้ทำลายได้ ในขณะเดียวกันผู้ทำลายก็กลายเป็นผู้สร้างได้เช่นกัน
เรามาสามารถที่จะทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนได้
ถ้าหากไม่มีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง
นักวิทายาศาสตร์ทั่วโลกต่างพยายามศึกษาผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อนเพื่อหาแนวทางบรรเทาและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
หากไร้ซึ่งพวกเขาเหล่านี้แล้ว ใครกันเล่าที่จะเป็นผู้ช่วยเหลือโลกใบนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนได้
หากเรานำมาประยุกต์ใช้อย่างตรงประเด็นและถูกวิธี อาทิการนำสบู่ดำมาผลิตไบโอดีเซล
เราต้องใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์ถึงสรรพคุณของสบู่ดำ
ว่าสบู่ดำสามารถดัดแปลงมาใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้าง
และใช้เทคโนโลยีในกรรมวิธีการผลิตเพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมาย นั่นคือ ไบโอดีเซล
การนำขยะมาใช้เป็นปุ๋ยหรือนำไปรีไซเคิลก็เช่นเดียวกันต้องใช้วิทยาศาสตร์ในการศึกษาและทดลองว่าขยะแต่ละประเภทสามารถนำไปดัดแปลงเป็นอะไรได้บ้าง
และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นตัวแปรรูปหรือผลิต
หรือจะเป็นในเรื่องของการผลิตพลังงาน อาทิพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์
เช่น การนำน้ำมันปาล์มมาผลิตไบโอดีเซล
หรือการหมักพืชอย่างมันสำปะหลังและอ้อยอันนำไปสู่การผลิตแก๊สโซฮอล์
ในการวิจัยสรรพคุณของมันสำปะหลังและอ้อย รวมไปถึงการคิดพัฒนาไปสู่แก๊สโซฮอล์
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย
และใช้เทคโนโลยีในกระบวนการแปรรูปมันสำปะหลังและอ้อยให้เป็นเอทานอล
ก่อนนำไปผลิตเป็นแก๊สโซฮอล์ 95 และแก๊สโซฮอล์ 91
ซึ่งสามารถใช้แทนหรือผสมกับน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ได้ แก๊สโซฮอล์เป็นพลังงานสะอาด
จะปล่อยมลพิษทางท่อไอเสียต่ำกว่าเบนซินทั่วไป
ดังนั้นแก๊สโซฮอล์จึงเป็นผลดีต่อสุขภาพของเรา และช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
เรายังสามารถนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยสร้างผู้พิทักษ์โลก นั่นก็คือ “ต้นไม้” ได้อีกด้วย
ต้นไม้คือสิ่งเดียวที่ช่วยกลั่นกรองอากาศเสียอย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นอากาศดีอย่างออกซิเจนได้
ซึ่งในปัจจุบันจำนวนพื้นที่ป่าของไทยเหลืออยู่เพียง 167,590,98 ตารางกิโลเมตร หรือ
33 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยฟื้นฟู
และขยายพันธุ์พืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราต้องใช้วิทยาศาสตร์ในการคิดค้นปรับปรุงพันธุ์พืช
ให้ได้พันธ์พืชที่ทนต่อสภาพแวดล้อม
มีส่วนในการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปเป็นก๊าซออกซิเจนที่ค่อนข้างสูง
และใช้เทคโนโลยี ในกระบวนการผลิตพันธุ์พืชเพื่อให้ได้พันธุ์พืชที่ดี มีคุณภาพ
จะเห็นว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กันไป
หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่อาจช่วยบรรเทาโลกร้อนได้
ถึงแม้ว่าเราจะมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อน
แต่ผู้ที่เป็นเจ้าแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือ มนุษย์ดังนั้นทุกคนที่อยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้จะต้องร่วมมือกันแก้ไข
หยุด ละ เลิก เป็นผู้ทำลาย เพราะสุดท้ายแล้วผลกระทบทั้งหมดก็ตกมาสู่ตัวเราเอง
ใช้ประโยชน์จาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทางที่สร้างสรรค์และคุ้มค่า
เพื่อโลกของเราจะได้คงอยู่สืบไป
…………………………………………………………………………………………………………
ตัวอย่างที่ 3
รางวัลชนะเลิศ นางสาววรรณี สังธรรมรอด
นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 1
ทำดีเพื่อพ่อ
ความดีหน้าตาเป็นอย่างไร รูปร่างลักษณะเป็นแบบไหน มีตัวตนหรือไม่ฉันก็ไม่รู้ แต่ที่ฉันรู้ ฉันรู้ว่าความดีไม่เคยทำให้ใครเดือนร้อน ถ้าคุณไม่เชื่อคุณก็ลองสัมผัสดูซิแล้วคุณจะรู้ว่าความสุขทางใจมันยิ่งใหญ่มหาศาลกว่าวัตถุที่มนุษย์ในปัจจุบันแก่งแย่งกันซะอีก
ภาพผู้ชายที่มีอยู่ทุกบ้าน ภาพที่ดูอบอุ่น ภาพที่ดูยิ่งใหญ่ ภาพที่ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้เป็นห่วงเรา ภาพภาพนี้ตอนฉันเด็กๆยังไม่เข้าใจอะไร ฉันจะชอบภาพว่าใครเหรอ
ยายก็จะบอกฉันว่า
นี่คือพ่อของแผ่นดิน
พระองค์ทรงเป็นห่วงและดูแลพสกนิกรพระองค์เสมอ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสมอมา
ฉันดีใจและภาคภูมิใจมากที่สุดที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินสยามผืนนี้ แผ่นดินที่มีความอุดมสมบรูณ์ แผ่นดินที่มีพ่อคอยดูแลลูกไม่เคยห่าง ทุกครั้งที่ฉันเห็นพระองค์ทรงงานหนัก พระองค์ไม่เคยย่อท้อ ทรงทำงานด้วยพระราชหฤทัยที่เต็มเปี่ยม
ฉันปลาบปลื้มและจะทำดีเหมือนที่พ่อทำแม้จะต่างสถานะ ต่างชนชั้น
แต่คนเราทุกคนก็ทำความดีได้
การทำความดีมิใช่ว่าทำเป็นครั้งๆ แต่เราควรทำให้สม่ำเสมอ เพราะผลของความดีจะตอบแทนการกระทำของเราเอง
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่รู้จักพระมหากษัตริย์แห่งสยาม ความดีของพระองค์แผ่ขยายไปทั่วโลก
ทุกคนต่างสรรเสริญและยกย่องในความดีของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลกและทรงงานหนักที่สุด
และไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นประชาชนของพระองค์รักและห่วงใยพระองค์ขนานไหน และสิ่งที่เราชาวไทยทุกคนจะทำดีเพื่อถวายในหลวงนั้น เราทุกคนสามารถทำได้ทุกคน
แค่สิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์และไม่เกิดโทษกับผู้อื่นก็เพียงพอ
ฉันเป็นคนไทยคนหนึ่งและเป็นลูกของพ่อ ฉันจะทำงานในหน้าที่ของฉันด้วยหัวใจ มิใช่ทำตามหน้าที่เท่านั้น แม้ว่าสิ่งที่ฉันทำอาจจะดูเล็กน้อยไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย แต่ฉันก็ภูมิใจที่ได้ทำสิ่งที่พ่อทำ "ความดี" ทำให้คนเป็นคนดี ถ้าไม่เชื่อคุณก็ต้องทำแล้วคุณจะรู้จักกับความดีอย่างแน่นอน
ตัวอย่างที่ 4
เรียงความเรื่อง ข้าวกับชาวนาไทย
ท้องทุ่งนาสีทองอร่ามตาทอดยาวไกลสุดขอบฟ้า
คุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่ากว่าจะมาเป็นข้าวแต่ละเม็ดให้คุณได้รับประทานในทุกวันนี้
ชาวนาไทยผู้ได้ชื่อว่าเป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” ต้องลำบากและเสียหยาดเหงื่อมาสักกี่หยดกว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดมาให้เราได้รับประทานเพื่อประทังชีวิต
แต่น้อยคนนักที่จะแลเห็นความสำคัญของพวกเขาเหล่านี้ คุณเคยคิดหรือไม่ว่า
ถ้าหากวันหนึ่งไม่มีชาวนาแล้วจะเอาข้าวที่ไหนกิน เราจะอยู่ได้อย่างไร
ฉะนั้นวันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของ ข้าวแล
พื้นแผ่นดินสยามอันงดงามของเราต่างก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์
“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพเกษตรกรรม
พื้นนากว่าหกสิบล้านไร่คือแผ่นดินอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษของเราใช้เป็นที่ปลูกข้าวหล่อเลี้ยงชีวิตลูกหลานไทยมาจนถึงทุกวันนี้
คนไทยมีความผูกพันกับอาชีพชาวนา ไม่ว่าเวลาจะเลยผ่านมาเนิ่นนานสักเพียงใด
พื้นแผ่นดินไทยก็ยังมีการปลูกข้าวมีการทำนาอยู่เสมอ หลายคนเคยบอกว่า
ชาวนาจะทำนาไปทำไมกัน ทำไปก็ไม่รวยยังคงยากจนเช่นเดิม
แม้ว่าข้าวจะมีราคาสูงขึ้นสักเพียงใด แต่ชาวนาไทยก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเลย
แต่จะมีใครคิดเล่าว่า ถ้าหากพวกเขาไม่ทำนาแล้ว แล้วเราจะเอาข้าวที่ไหนกิน
แม้รายได้จากการขายข้าวจะมีเพียงน้อยนิด
แต่คุณค่าของข้าวที่พวกเขาปลูกมันมีค่ามากมายมหาศาล ผู้ใหญ่มักจะบอกให้เด็กๆเห็นคุณค่าของข้าวที่มี
ไม่กินทิ้งกินขว้าง และมีคำพูดที่ติดปากบอกกันมาอย่างที่ได้ยินบ่อยๆว่า “ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า ผู้คนอดอยาก
มีมากหนักหนา สงสารชาวนา เด็กตาดำๆ”ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดย่อมเข้าใจได้ดีว่า
วิถีชีวิตการเป็นชาวนานั้นเป็นอย่างไร เมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเคยช่วยยายทำนา
ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรมากนัก
แต่จำได้ว่าฉันมีความสุขมากกับการได้ทำนาและเห็นข้าวที่ฉันปลูกเองกับมือนั้นโตขึ้นมาเป็นรวงข้าวสีทองอร่ามตา
ในช่วงหน้าหนาวที่ลมหนาวพัดมาก็เป็นการส่งสัญญาณว่าได้เวลาเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว
ข้าวในนาจะสุกเป็นสีเหลืองทองอร่ามทั่วท้องทุ่ง
มองดูแล้วมันทำให้มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ฉันเองแม้ไม่ใช่ชาวนายังมีความสุขได้เพียงนี้
แต่คนที่เขาเป็นชาวนาเขาคงมีความสุขมากกว่าฉันหลายร้อยเท่า
นอกจากนี้ฉันยังจำได้ว่า ยายของฉันเคยนำตอซังข้าวมาทำเป็นเครื่องดนตรีเล็กๆ
ยายเรียกมันว่า “ปี่ซังข้าว” ซึ่งมันทำให้ฉันมีความสุขและสนุกมาก แต่ทุกวันนี้ภูมิปัญญาต่างๆได้เริ่มลดเลือนหายไป
อาจจะเป็นเพราะคนไทยในทุกวันนี้ได้มองข้ามอาชีพชาวนาและหันไปประกอบอาชีพอื่นแทน
แต่ก็ยังมีประเพณีบางอย่างที่ยังคงหลงเหลือและปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้เช่น
ภาคกลางมีประเพณีแห่นางแมวขอฝน ประเพณีแขกเกี่ยวข้าว ประเพณีทำบุญลาน
ประเพณีทำขวัญข้าวหรือทำขวัญแม่โพสพ
ซึ่งคนไทยเชื่อว่าต้นข้าวมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “แม่โพสพ” สถิตอยู่
ซึ่งแม่โพสพจะช่วยดูแลให้ต้นข้าวออกรวง แข็งแรง เมล็ดเยอะ
ชาวนาจึงเคารพกราบไหว้พระแม่โพสพ นอกจากนี้ภาคอีสานก็ยังมีประเพณีโยนครกโยนสาก ประเพณีบุญข้าวประดับดิน
ประเพณีทำบุญข้าวสาก ประเพณีบุญข้าวจี่และที่สำคัญคือ
ประเพณีบุญบั้งไฟที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
ซึ่งฉันเองก็เคยได้ร่วมประเพณีเหล่านี้มาบ้างแล้ว ส่วนภาคเหนือก็มีพิธีแฮกนา
พิธีทำขวัญข้าวต้น ประเพณีสู่ขวัญควาย ภาคใต้เองก็มีประเพณีสวดนา ประเพณีแรกปักดำ
ซึ่งประเพณีที่กล่าวมานี้ต่างก็แสดงให้เห็นว่าคนไทยเรามีความผูกพันกับอาชีพชาวนามาเนิ่นนานแล้วและฉันเองก็เห็นว่า
เราควรส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรม อาชีพชาวนากันต่อไป
ดังกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “ข้าวต้องปลูก เพราะอีก๒0 ปี ประชากรอาจจะ ๘0 ล้านคน ข้าวจะไม่พอ
ถ้าลดการปลูกข้าวไปเรื่อยข้าวจะไม่พอ เราจะต้องซื้อข้าวจากต่างประเทศ
เรื่องอะไรประชาชนคนไทยจะยอม คนไทยนี้ต้องมีข้าว
แม้ข้าวที่ปลูกในเมืองไทยจะสู้ข้าวที่ปลูกในต่างประเทศไม่ได้ เราก็ต้องปลูก” ประเทศไทยของเราได้ชื่อว่าปลูกข้าวได้อร่อยที่สุดและข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ
ฉันไม่อยากเห็นว่าวันหนึ่งจากประเทศที่มีข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญต้องกลายเป็นว่าไม่มีข้าวกิน
ข้าวไม่เพียงพอ เพราะจำนวนชาวนามีน้อยลง ผู้คนหันไปทำอย่างอื่นกันหมด
มันอาจจะจริงอยู่ที่การประกอบอาชีพอุตสาหกรรม
อาชีพบริการมันมีรายได้สูงกว่าการเป็นชาวนา แต่ถ้าหากไม่มีชาวนา
ผู้เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ
ผู้คอยหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนหลายร้อยล้านคนบนโลกนี้
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้า จะมีข้าวให้เรากินหรือไม่
มีหลายคนที่ลุกขึ้นมากระตุ้นให้ตระหนักถึงความสำคัญของชาวนา
และได้เขียนเรื่องราวความทุกข์ยากของชาวนาเอาไว้ดังพระราชนิพนธ์ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีที่ทรงแปลจากบทกวีของชาวจีนที่ว่า
“หว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิ ข้าวเมล็ดหนึ่ง
จะกลายเป็นหมื่นเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วง รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย
ตอนอาทิตย์เที่ยงวัน ชาวนายังพรวนดิน เหงื่อหยดบนดินภายใต้ต้นข้าว
ใครจะรู้บ้างว่าในจานใบนั้น ข้าวแต่ละเม็ดคือความยากแค้นแสนสาหัส”
ถึงเวลาแล้วที่วันนี้เราทุกคนต้องหันมากระตุ้นให้ผู้คนเห็นความสำคัญของข้าวและชาวนา
ช่วยทำให้กระดูกสันหลังของชาติมีความแข็งแรง เข้มแข็ง
ฉันเชื่อว่าประเทศที่มีข้าวคือประเทศที่ไม่มีวันอดตาย
เราโชคดีมากสักเพียงใดแล้วที่เกิดมาในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” แล้วเราจะปล่อยให้พื้นแผ่นดินที่เคยปลูกข้าวหล่อเลี้ยงชีวิตของเรามาตั้งแต่อดีตต้องรกร้างว่างเปล่าได้อย่างไรกัน
“ช่วยกันสิ” ส่งเสริมชาวนาไทยให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
อย่าให้เมืองไทยเป็นเพียงเมืองที่เคยปลูกข้าว
แต่จงทำให้เมืองไทยเป็นดินแดนสีทองเหลืองอร่ามของข้าวต่อไป
ข้าวและชาวนาไทยมีความสำคัญกับประเทศไม้แพ้กับอาชีพอื่นๆ
เราเองอาจจะเป็นชาวนาหรือไม่เป็นชาวนาก็ตาม
แต่ถ้าหากเราแลเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของชาวนา
รับรู้ถึงความยากลำบากของการปลูกข้าว
เข้าใจวิถีชีวิตของคนที่ถูกเรียกขานว่ากระดูกสันหลังของชาติ
ข้าวและชาวนาไทยก็จะอยู่คู่สังคมไทยต่อไป
นางสาวพัชรี หนองผือ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๖โรงเรียนสารวิทยา
เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร๖
………………………………………………………………………………………………………………
ตัวอย่างที่ 5
เรียงความเศรษฐกิจพอเพียง
เป็นเรียงความของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนธิดานุเคราะห์ ในหัวข้อเรื่อง
"ชุมชนของฉันกับวิถีพอเพียง" ซึ่งเป็นรางวัลชนะเลิศ โดยเจ้าของเรียงความ
เธอมีชื่อว่า เด็กหญิงพรอิสรา วงศ์สุภาพ ซึ่งเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับสังคมของคนไทยในปัจจุบัน
และการนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับคนไทยในปัจจุบัน
เศรษฐกิจพอเพียง
เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนชาวไทย
ซึ่งเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะแต่การใช้จ่ายอย่างประหยัดเท่านั้น
หากแต่ยังรวมถึงการมีชีวิตที่สงบสุขและยั่งยืนอีกด้วย
ชีวิตความเป็นอยู่ของฉันก็คือวิถีชีวิตของเด็กเมืองธรรมดา
ๆ คนหนึ่ง ผู้ซึ่งต้องตื่นแต่เช้า ฝ่าจราจรอันคับคั่งเพื่อไปโรงเรียน
ต้องทนอุดอู้อยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่ปิดกั้นมิดชิดเพื่อป้องกันมลพิษ
ต้องไปเบียดเสียดกับคนหมู่มากเพื่อซื้ออาหารในโรงงอาหาร ต้องอยู่กับเพื่อน ๆ
ที่มีโรคภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัวกันมากมาย
และต้องใช้ชีวิตอยู่บนสายป่านแห่งความสำเร็จรูปโดยแท้
สังคมมนุษย์มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
มีคนมาอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน เป็นสังคมมากขึ้น
ซึ่งยิ่งต้องมีกฎระเบียบที่สามารถทำให้ทุกคนในสังคมสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยสงบสุข
และเราคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน พนักงานบริการ พ่อค้าแม่ค้า เจ้าหน้าที่รัฐ
และรวมไปถึงคุณยายสูงอายุที่เดินออกกำลังกายผ่านหน้าบ้านทุกวัน
ปัจจุบันนั้น โลกได้เป็นยุคโลกาภิวัฒน์
เป็นยุคการสื่อสารไร้พรมแดน
ทุกคนสามารถเข้าหาข้อมูลได้ในเวลาเดียวกันในแต่ละซีกโลก
แต่นั้นก็อาจทำให้ผู้คนได้รับสิ่งใหม่ ค่านิยมใหม่ วัตถุความเจริญ
และความทันสมัยใหม่ ๆ
ในขณะที่อารยธรรมทางด้านจิตใจและการศึกษายังสั่งสมได้ไม่ถึงขีดสุด
ซึ่งบางครั้งการได้รับเอาความเจริญแบบผิดวิธีอาจทำให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี เกิดกระแสการบริโภคที่ไร้ขีดจำกัด
มีค่านิยมใหม่ ๆ เกี่ยวกับวัตถุเงินทองมากมาย
และลัทธิชื่นชมบูชาผู้ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่เลือกวิธีการ
เพื่อนของฉันนิยมไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพ
พวกเขากล่าวไว้ว่าระบบการเรียนการสอนที่นั่นมีความเพียบพร้อมสมบูรณ์ ได้มาตรฐาน
และมีคุณภาพ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นก็กลับจากกรุงเทพฯ
โดยมือข้างหนึ่งถือแนวข้อสอบวิชาต่าง ๆ
ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือถุงเสื้อผ้ามียี่ห้อจากต่างประเทศ
เพื่อนคนหนึ่งไม่ชอบกินเงาะ มังคุด ลองกอง มะละกอ หรือมะม่วง เพราะให้เหตุผลว่านั่นเป็นผลไม้ที่
“บ้านนอก” เขาจะเลือกกินแต่แคนตาลูป กีวี กล้วยหอม
องุ่น เชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ และแอปเปิ้ลเท่านั้น
เพื่อนอีกคนเป็นคนตาไว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเครื่องประดับ เสื้อผ้า
รูปลักษณ์ รูปร่างของผู้สนทนา หรือผู้ที่เดินสวนทางกับเขา ตัวอย่างเหล่านี้ เชื่อไหมว่าคือผลพวงอย่างหนึ่งของยุคโลกาภิวัฒน์ที่พัฒนามาเร็วเกินกว่าการสั่งสมทางปัญญาและภูมิต้านทางทางสังคม
นั่นเป็นเพียงไม่กี่คนในสังคมที่ข้าพเจ้าอยู่อาศัย
ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ทั้งปฏิบัติและไม่เอาอย่างบุคคลข้างต้น อย่างไรก็ดี
เมื่อประเทศประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ภาวะต่าง ๆ ได้เข้ามารุมเร้าผู้คนรอบด้าน
ชีวิตมนุษย์ในสังคมเมือง ได้ประสบกับภาวการณ์อันจำเจและไร้ทางออกมากขึ้น
ทำให้ผู้คนต่างต้องไขว่คว้าแสวงหาความสุขที่คงทนยั่งยืน
คนบางคนไม่เคยจับถือสิ่งของหนัก
ๆ มาก่อนในชีวิต อาจมีบางช่วงที่ต้องหลบไปปาดน้ำตามที่หลั่งริน
เนื่องจากเพราะสภาพเศรษฐกิจอันย่ำแย่และฐานะที่ไม่เหมือนแต่ก่อน คนบางคนที่กรำงานมาเท่าชีวิตก็อาจน้ำตาตกใน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหนี้สินมากมาย และข้าวของราคาสูงกว่าแต่ก่อน เป็นไปได้ไหมที่เขารู้สึกเช่นนั้น
เพราะเขาไม่อาจตัดบางสิ่งบางอย่างลงไปได้ ... บางสิ่งที่ไม่จำเป็น ...
บางสิ่งที่ถึงไม่มีก็ไม่ทำให้ชีวิตชอกช้ำระกำจิต เมื่อปัญหาต่าง ๆ นานามากเข้า ๆ
ผู้คนก็หันไปประหยัดในการใช้จ่ายในการบริโภคมากขึ้น บางคนหันมาใช้รถประหยัดน้ำมันแทนรถประจำตระกูลอันโอ่อ่า
บางคนหันมาใช้สบู่สมุนไพรแทนสบู่จากต่างประเทศ
และมีบ้างไม่น้อยที่คิดว่าตนน่าจะท่องเที่ยวยามราตรีให้น้อยลง สำหรับของเก่า ๆ
แทนที่จะโยนมันลงทิ้งถังขยะเสีย ก็มีการนำออกมาขายให้ผู้ที่รับซื้ออีกต่อหนึ่ง
เพื่อนำมันมาแปรรูปแล้วใช้ใหม่ บ้างก็นำมันไปใช้ในด้านอื่น เช่น
การนำกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้แล้วมาทำเป็นวัสดุรองพื้น เป็นต้น
หรืออาจจะมีการนำของเก่าเก็บมาดัดแปลงให้สามารถนำอกมาใช้งานในแง่อื่น เช่น
การนำขวดน้ำมาประดิษฐ์เป็นแจกันดอกไม้ เป็นต้น
นอกจากปัญหาในสังคมจะทำให้ทุกคนมีความระมัดระวังในการจับจ่ายแล้ว
ยังทำให้พวกเขาต้องใช้สายตาอันกว้างไกลในการตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย
เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคตและที่สำคัญในการใช้ชีวิตที่พอเพียงยังทำให้ผู้คนในชุมชนมีความเอื้ออาทรต่อกัน
เมื่อใครมีสิ่งใดที่มากเกินพอดีก็อาจจะนำสิ่งนั้นไปขายหรือบริจาคให้แก่ผู้อื่นอีกต่อ
ๆ กันไป ฉันคิดว่าบางทีตาแป๊ะแก่ ๆ ที่ยืนอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ
อาจมีความสุขมากกว่ามหาเศรษฐีที่ไม่รู้จะนำเงินของตนไปวางไว้ที่ไหนก็ได้...
ถ้าเขามีความพอเพียงพอประมาณในตนเอง
แม้ว่าบางคนในชุมชนอาจมีฐานะไม่ดี
แต่ว่าเขามีความพอดี พอประมาณในความต้องการของเขาเหล่านั้น
ก็สามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นปุถุชนคนหนึ่งที่มีความสุขได้แล้ว ฉันคิดว่าบางทีความสุขนั้นก็ไม่ได้หมายถึงปริมาณตัวเลขในบัญชี
ตำแหน่งการงานหรือฐานะ หากแต่มาจากความสงบนิ่งที่เริ่มจากภายในจิตใจ
ถ้าทุกคนมีวิถีชีวิตที่พอเพียง ทั้งสังคมและประเทศชาติก็จะค่อย ๆ
ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ แต่ทว่า...มั่นคงได้ท่ามกลางกระแสธารแห่ง
ทุนนิยม
เด็กหญิงพรอิสรา วงศ์สุภาพ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3/1 โรงเรียนธิดานุเคราะห์
อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ตัวอย่างที่ 6
ตัวอย่างที่ 7
ขอบคุณเจ้าของเรื่องความ และผู้เผยแพร่เรียงความ ข้างต้น
เพจ เด็กไทยมั่นใจ AEC
อื่นๆ